วัดโคก จังหวัดเพชรบุรี เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลคลองกระแชง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี มีที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 14 ไร่ 80 ตารางวา มีทีธรณีสงฆ์ จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา ส่วนที่มาของชื่อวัดสันนิษฐานว่ามาจากลักษณะภูมิศาสตร์ที่ตั้งของวัด ด้วยทางด้านทิศตะวันออกของวัดมีแม่น้ำคลองกระแชงไหลผ่าน เมื่อเข้าหน้าน้ำ น้ำจะท่วมวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แต่น้ำไม่ท่วมวัดนี้ เพราะเป็นที่สูง จึงให้ชื่อว่า "วัดโคก" วัดโคก ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2170 อุโบสถหลังเก่าน่าจะสร้างในสมัยอยุธยา อุโบสถหลังนี้ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมาหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งในสมัยพระอธิการลำไย ปทีโป เป็นเจ้าอาวาส ได้ทำการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าและได้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2518 โดยได้รับความอุปถัมภ์จากหลวงจบกระบวนยุทธ และคุณหญิงจงกล กิตติขจร ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่ในบริเวณวัด เอกสารโบราณของวัดโคก จ.เพชรบุรี พบว่าเอกสารโบราณประเภทใบลาน จะเป็นใบลานก้อม (ใบลานขนาดเล็กว่าใบลานปกติ) จารด้วยอักษรไทย อยู่ในหมวดเวชศาสตร์ และหมวดธรรมคดี ประมาณ 20 ผูก ส่วนเอกสารโบราณประเภทสมุดไทย จะเป็นสมุดไทยดำ สมุดไทยขาว เขียนด้วยอักษรขอมไทย และอักษรไทย อยู่ในหลายหมวดทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ กฎหมาย และวรรณกรรม แต่น่าเสียดายที่สมุดไทยส่วนใหญ่ไม่ครบฉบับ เนื้อหาบางส่วนขาดหายไปบ้าง โดยคณะทำงานได้จัดทำทะเบียนเอกสารโบราณลงในแบบบันทึกข้อมูล ทำความสะอาดเอกสารโบราณตามกรรมวิธีที่เหมาะสม ถ่ายภาพทำสำเนาดิจิทัล ทำป้ายชื่อกำกับเอกสารโบราณ และห่อคัมภีร์เพื่อจัดเก็บคืนให้แก่วัด พร้อมทั้งแนะนำการเก็บรักษาเอกสารโบราณให้แก่ทางวัด อ้างอิงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/วัดโคก_(จังหวัดเพชรบุรี) https://communityarchive.sac.or.th/community/WatKhok http://m-culture.in.th/album/16219
วัดคงคารามสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อกรุงธนบุรี ตามประวัติกล่าวว่า เจ้าเมืองรามัญ 7 เมือง ได้แก่ พระสมิงสิงหบุรินทร์ เมืองสิงห์ พระนินนะภูมินบดี เมืองลุ่มสุ่ม พระชินติฐบดี เมืองท่าตะกั่ว พระนิโครธาภิโยค เมืองไทรโยค พระปนัสติฐบดี เมืองท่าขนุน พระเสลภูมิบดี เมืองทองผาภูมิ และพระผลกติฐบดี เมืองท่ากระดาน รวมถึงครอบครัวชาวมอญที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ได้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดคงคารามขึ้นเป็นวัดกลาง เพื่อใช้เป็นศูนย์รวมในการร่วมทำสังฆกรรมของสงฆ์แบบรามัญนิกายในวันเข้าและออกพรรษาของทุกปี อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมของชาวมอญในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีชื่อเรียกเป็นภาษามอญว่า “เภี้ยโต้” แปลว่าวัดกลาง และเป็นชื่อวัดหนึ่งในเมืองมอญ ปลายสมัยรัชกาลที่ 2 พระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) ขุนนางไทยเชื้อสายมอญได้นิมนต์พระราชาคณะฝ่ายรามัญนิกายมาเป็นเจ้าอาวาส วัดคงคารามเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นสูงสุดในสมัยรัชกาลที่ 4 พระครูรามัญญาธิบดี เจ้าอาวาสเป็นที่เคารพนับถือมาก กิจกรรมต่างๆ ของวัดได้รับการอุปถัมภ์โดยเจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ 4 และทูลเกล้าฯ ถวายให้เป็นพระอารามหลวง ซึ่งได้รับพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดคงคาราม” สำหรับพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคารามนั้น ก่อตั้งในปี 2542 โดยใช้กุฏิ 9 ห้อง ซึ่งเป็นเรือนไม้ทรงไทยที่ใหญ่และงามที่สุดแห่งหนึ่ง จัดเป็นที่แสดงโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุที่ล้ำค่าอันเป็นสมบัติของวัดมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น โลงมอญอายุกว่า 200 ปี แกะสลักลายดอกพุดตานลงรักปิดทองประณีตงดงาม คัมภีร์ใบลานและสมุดไทยที่จารเป็นภาษามอญจำนวนมาก หีบและตู้พระธรรม เครื่องปั้นดินเผาศิลปะมอญแกะสลักลวดลายวิจิตรหาชมได้ยากในปัจจุบัน เครื่องมือช่างสมัยโบราณ หนังช้างอานม้าลงรักปิดทอง ตาลปัตรพัดยศรูปทรงงดงาม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชาวมอญ เครื่องถ้วยลายคราม เครื่องทองเหลือง เป็นต้น ปี 2553 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ได้ร่วมงานกับวัดคงคารามเมื่อครั้งจัดงานเทศกาลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “สยามใหม่จากมุมมองท้องถิ่น” ต่อมาปี 2554 ศูนย์ฯ ได้จัดกิจกรรมอนุรักษ์ผ้าห่อคัมภีร์ เพื่อยืดอายุของผ้าในฐานะเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ และคุณค่าทางด้านศิลปะและพลังศรัทธาของชุมชน โดยมีผู้ทรงความรู้เรื่องผ้ามาให้ความรู้และปฏิบัติการในการอนุรักษ์ผ้าอย่างง่ายให้กับชาวบ้าน ทั้งการเก็บรักษาผ้าให้คงสภาพดีด้วยวิธีการม้วนผ้ากับแกนเพื่อไม่ให้เส้นใยผ้าหักงอ การจัดแสดงผ้าด้วยการตรึงผ้ากับกรอบไม้ และการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผืนผ้าด้วยการทำผ้าดามหลัง รวมทั้งการซ่อมแซมผ้าซึ่งมีทั้งวิธีการตามหลักการอนุรักษ์ และวิธีแบบพื้นบ้านผสมผสานกัน ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากลุงป้าน้าอาชาวคงคารามเป็นอย่างดี และการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ผ้าห่อคัมภีร์นี่เอง ทำให้ ดอกรัก พยัคศรี นักวิชาการฐานข้อมูลเอกสารโบราณฯ (ในขณะนั้น) ที่มีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรมด้วย พบว่านอกจากผ้าห่อคัมภีร์ที่น่าสนใจแล้ว ตัวเอกสารโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้ก็มีความน่าสนใจ น่าศึกษา สมควรที่จะอนุรักษ์เอกสารโบราณในรูปแบบของสำเนาดิจิทัล และเพิ่มช่องทางในการเผยแพร่เอกสารโบราณเหล่านี้ให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเอกสารโบราณได้ง่ายขึ้น ปี 2559 ทางศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ จึงทำหนังสือขออนุญาตเพื่อทำสำเนาดิจิทัลเอกสารโบราณ ทีมงานได้พบพระอนุวัฒน์ สุจิตฺโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือพระเจี๊ยบ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พระเจี๊ยบให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าก่อนหน้านี้มีหน่วยงานของรัฐ คือ กลุ่มงานหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้เข้ามาสำรวจ ชำระ แยกประเภทและจัดหมวดหมู่เอกสารโบราณของวัดคงคารามไว้อย่างดีมาก และจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ และได้อาจารย์พิศาล บุญผูก ผู้เชี่ยวชาญอักษรและภาษาโบราณมาช่วยอ่านแปลชื่อเรื่องให้ ซึ่งเป็นคุณูปการแก่วงวิชาการอย่างสูง อ้างอิงข้อมูลจาก 1) ประวัติความเป็นมาและสภาพทั่วไปของเทศบาลตำบลคลองตาคต, สืบค้นจาก http://www.klongtakot.go.th/general1.php 2) แผ่นพับประชาสัมพันธ์พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและจิตรกรรมฝาผนังวัดคงคาราม 3) รีวิวพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคาราม, ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย ศมส. https://db.sac.or.th/museum/museum-detail/435
“วัดหนัง” หรือ “วัดหนังราชวรวิหาร” ตามประวัติวัดนั้นสร้างเมื่อ พ.ศ.2260 หรือช่วงรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระ สมัยก่อนแถววัดหนังอยู่เขตอำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี เมื่อรวมธนบุรีเข้ามาเป็นกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก วัดหนังก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ยังปรากฏป้ายเก่าของวัดขณะที่ยังสังกัดจังหวัดธนบุรีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของวัด วัดหนังเป็นวัดเก่าแก่ในย่านนี้ และมีวัดในแถบใกล้ๆ กันอีกหลายวัดจนมีเรื่องเล่าว่า วัดในแถบนี้มีวัดสามพี่น้องคือ วัดหนัง วัดนางนอน และวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และที่ใกล้กันนั้นก็มีวัดศาลาครึนด้วย วัดนางนองราชวรวิหารและวัดราชโอรสารามราชวรวิหารนั้นบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งศิลปะที่ปรากฏอยู่ที่วัดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะแบบจีน ส่วนวัดหนังนี้พระราชมารดาของรัชกาลที่ 3 ทรงให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหนังขึ้นใหม่ แต่ให้มีความเป็นไทยผสมอยู่มากกว่าวัดนางนองและวัดราชโอรสารามฯ แต่ก็ยังมีศิลปะแบบจีนปนอยู่บ้าง พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาเรียนรู้ วิถีชีวิต และประวัติความเป็นมาของพื้นที่ย่านเขตจอมทอง คิดริเริ่มและลงมือจัดทำช่วง พ.ศ.2545 สมัยพระธรรมศีลาจารย์เป็นเจ้าอาวาส โดยมีพระครูสมุห์ไพฑูรย์ สุภาฑโร (ปัจจุบันลาสิกขาบทแล้ว) และบรรดาลูกศิษย์ในย่านวัดหนังช่วยกันก่อตั้งและจัดหาวัตถุจัดแสดง
บริเวณวัดห้วยตะโกสันนิษฐานว่าเคยเป็นวัดเก่าแก่มาก่อน ต่อมาพระครูสังฆรักษ์ไพบูลย์ กตปุญโญ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ได้เข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดห้วยตะโก ท่านมีความสนใจศิลปะเขมร ท่านจึงมีแนวคิดที่จะผสมผสานรูปแบบศิลปะดังกล่าวเข้ามาไว้ในวัด โดยเฉพาะอุโบสถหลังใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ท่านได้แนวคิดมาจากบรรณาลัยของปราสาทหินพนมรุ้ง นอกจากนี้ท่านยังพยายามจะให้วัดห้วยตะโกเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชน มีมุมต่าง ๆ ที่ให้ความรู้ อาทิ เตาเผาสร้างอาชีพ ซึ่งเป็นมุมที่จัดเป็นสถานที่ผลิตอิฐเพื่อนำมาก่อสร้างโบสถ์องค์ปัจจุบัน มุมวาดลายไทย เป็นต้น ข้อมูลจาก: สำรวจภาคสนาม วันที่ 30 กรกฎาคม 2547 ข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ปี พ.ศ. 2546 ฉบับเนื้อหาโดยสังเขป. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (เอกสารอัดสำเนา), 2546.
สมบัติส่วนบุคคลของคุณศุภเดช จังหวัดสุราษฏร์ธานี ให้ความอนุเคราะห์นำเอกสารโบราณเหล่านี้มาจัดทำสำเนาดิจิทัลเพื่อเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้สนใจ เอกสารโบราณชุดนี้ภาคใต้เรียกว่า หนังสือบุด มีความน่าสนใจตรงที่เป็นเอกสารโบราณของทางภาคใต้ที่มักไม่ค่อยมีการเผยแพร่ออนไลน์ ซึ่งเราจะเห็นได้ถึงคำศัพท์เฉพาะถิ่นและสำนวนต่างๆ ที่น่าสนใจ คอลเลกชั่นพิเศษของคุณศุภเดชมีทั้งสิ้น 6 ฉบับ อยู่ในหมวดตำราเวชศาสตร์ ตำราโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ เขียนด้วยอักษรขอมไทย ภาษาบาลี และอักษรไทย ภาษาไทยถิ่นใต้
วัดสำโรง ปรากฏหลักฐานตามทะเบียนวัด ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ.2343 เดิมชื่อว่า “วัดสามโรง” และชาวบ้านช่วยกันสร้างโรงขึ้นมาสามหลัง เพราะสถานที่นี้มีพระภิกษุมาปักกลดอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาชาวบ้านเห็นว่าสมควรตั้งเป็นวัด ปู่ดำเจ้าของที่จึงถวายที่ตรงนี้ให้เป็นที่ตั้งวัด และชาวบ้านพร้อมใจกันไปอาราธนา พระภิกษูนุช ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดลานตากฟ้า (วัดอยู่ตรงข้ามกับวัดสำโรงในปัจจุบัน) มาเป็นเจ้าอาวาส ปู่ดำเจ้าของที่ดินก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุด้วย และช่วยกันพัฒนาสิ่งก่อสร้างจนสามารถทำสังฆกรรมได้ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อเรียกวัดนี้ว่า “วัดสามโรง” เมื่อวัดสามโรง เจริญขึ้นมาได้ตามลำดับ ชาวบ้านวัดสามโรงได้เห็นตรงกันว่า ควรเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ให้ตรงกับบริเวณวัดที่มีต้นสำโรงตั้งอยู่ด้วย ด้วยสาเหตุนี้จึงเปลี่ยนจากชื่อจาก วัดสามโรง เป็น วัดสำโรง จนถึงปัจจุบัน
พระสอนชัย ปภากโร กล่าวถึงที่มาของของเอกสารโบราณชุดนี้ว่า พ.อ.รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ นำมาถวายวัดทุ่งเนินพะยอมเป็นมรดกตกทอดมา เนื่องจากครอบครัวรับราชการเกรางว่าภูมิปัญญาชาวบ้านจะหายไปจึงถวายวัด แต่เนื่องจากวัดกำลังพัฒนามีการเปลี่ยนแปลง กรรมการวัดเกรงว่าเอกสารเก่าๆ ที่มีสภาพสมบูรณ์เล่มนี้จะถูกทำลายจึงขอมอบให้ ฐานข้อมูลเอกสารโบราณฯ ศมส. เพื่อเก็บรักษาเป็นสมบัติของชาติสืบต่อไป
วัดท่าข้าม เดิมชื่อ “วัดปากลัดท่าคา” มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า มีนายพราน 3 คน ไล่ตามคล้อง ช้างหัวเสือ (บริเวณตําบลบางช้างในปัจจุบัน) นายพรานทั้ง 3 ได้เดินมาถึงวัดท่าข้าม และข้ามแม่น้ำนครชัย ศรีไป เพื่อไปคล้องช้าง ชาวบ้านเรียกสืบต่อกันมาว่า “ท่าข้าม” และเรียกชื่อวัดว่า “วัดท่าข้าม” ตาม เหตุการณ์ดังกล่าว โดยตําบลที่นายพรานทั้ง 3 ข้ามแม่น้ำไปจึงถูกเรียกว่า “ตําบลสามพราน” (ข้อมูลจาก หนังสือ “วัดท่าข้าม ทางดี”, ที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ที่ พระครูเกษมธรรมรักษ์ (หลวงพ่อยะ เขมปาโล) วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2530) สหายการพิมพ์ : กาญจนบุรี, 2530.) คณะทํางานเข้าสํารวจเอกสารโบราณ ณ วัดท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.สามพราน จ.นครปฐม ทราบจากพระลูกวัดว่า พระมงคลสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสอาพาธและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จึงได้แนะนําให้เข้าพบกับพระมหาองอาจ ญาณวีโร รักษาการเจ้าอาวาส เพื่อสอบถามถึงเอกสารโบราณของทางวัด ท่านพระมหาองอาจให้ข้อมูลว่า เอกสารโบราณบางส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้ไปพร้อมศาลา บางส่วนที่เหลือรอดมาก็ถูกน้ำท่วม เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ เอกสารโบราณเหล่านี้แช่อยู่ในน้ำ ท่านพระมหาองอาจได้เก็บรวมรวมมาไว้ได้เพียงบางส่วน
วัดเทียนดัด ตั้งอยู่เลขที่ 66 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เล่ากันว่าสร้างขึ้นสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2312 ภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วหมู่พระสงฆ์ได้หนี้พวกพม่ามาพักในบริเวณนี้ ชาวบ้านจึงได้สร้างวัดเพื่อให้พระสงฆ์ ได้อยู่จำพรรษา วัดนี้แต่เดิมนั้นมีต้นเกดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากจึงได้ชื่อว่า “วัดดงเกด” แล้วเปลี่ยนมาเป็น “วัดกระแชงดาด” วัดเชิงดาดคงคาวน และ “วัดเชิงดาดคงคาวล” ต่อมาเมื่อครั้งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จผ่าน และแวะเยี่ยมที่วัดแห่งนี้ ท่านได้ตั้งนามของวัดให้ใหม่ว่า “วัดเทียนดัด” หลักฐานเก่าแก่ของวัดที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง ได้แก่ อุโบสถหลังเก่า สร้างหันหน้าไปทางแม่น้ำ ด้านหน้ามีพาไลหรือหลังคาคลุมทอดลงมา ใบเสมาตรงเอวทำเป็นลวดลายก้านขดสลับไปคล้ายกับใบเสมาที่วัดหอมเกร็ด ในอดีตวัดแห่งนี้มีพระเถรซึ่งมีชื่อเสียงมาก ได้แก่ พระครูปลัดผัน ติสฺสวณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 4 และพระครูอาทรพิทยคุณ (ผล ธมฺมโชติ) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 ซึ่งท่านทั้ง 2 มีชื่อเสียงทางด้านการสร้างพระและเครื่องรางของขลัง องค์สุดท้ายได้แก่ พระครูมนูญ กิจจานุวัตร (แสวง ธมฺรโส) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 6 ดังนั้น วัดเทียนดัดในทุกวันนี้จึงได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีสิ่งก่อสร้างขึ้นอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลักฐานในอดีตหลงเหลืออยู่น้อยมาก จนบางครั้งทำให้ดูเหมือนกับว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดสร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน หลักฐานเหล่านี้ได้บันทึกไว้ในหนังสือทางประวัติศาสตร์ชื่อ วัฒนธรรมสามพราน วัดเทียนดัด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ.2480 ข้อมูลจาก http://m-culture.in.th/album/view/150592/