วัดสำโรง ปรากฏหลักฐานตามทะเบียนวัด ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ.2343 เดิมชื่อว่า “วัดสามโรง” และชาวบ้านช่วยกันสร้างโรงขึ้นมาสามหลัง เพราะสถานที่นี้มีพระภิกษุมาปักกลดอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาชาวบ้านเห็นว่าสมควรตั้งเป็นวัด ปู่ดำเจ้าของที่จึงถวายที่ตรงนี้ให้เป็นที่ตั้งวัด และชาวบ้านพร้อมใจกันไปอาราธนา พระภิกษูนุช ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดลานตากฟ้า (วัดอยู่ตรงข้ามกับวัดสำโรงในปัจจุบัน) มาเป็นเจ้าอาวาส ปู่ดำเจ้าของที่ดินก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุด้วย และช่วยกันพัฒนาสิ่งก่อสร้างจนสามารถทำสังฆกรรมได้ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อเรียกวัดนี้ว่า “วัดสามโรง”
เมื่อวัดสามโรง เจริญขึ้นมาได้ตามลำดับ ชาวบ้านวัดสามโรงได้เห็นตรงกันว่า ควรเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ให้ตรงกับบริเวณวัดที่มีต้นสำโรงตั้งอยู่ด้วย ด้วยสาเหตุนี้จึงเปลี่ยนจากชื่อจาก วัดสามโรง เป็น วัดสำโรง จนถึงปัจจุบัน
หลักไชยเป็นตำรากฎหมาย การตัดสินคดี
สมุดไทยเรื่อง NPT010-016 ตำราคาถาและตำรายา ฉบับวัดสำโรง จ.นครปฐม เป็นสมุดไทยขาวตัวอักษรขอมไทย, ไทย ภาษาบาลีและภาษาไทย เขียนด้วยเส้นหมึกสีดำ ลายมือที่ปรากฏในสมุดไทยมี ๒ ลายมือแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ลายมือแรกเขียนตัวอักษรขอมไทยได้บรรจง สวยงาม ส่วนลายมือที่สองค่อนข้างหวัด สันนิษฐานว่าในหน้าต้นที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องตำราคาถานั้นถูกเขียนขึ้นมาก่อนซึ่งไม่ได้เขียนจนหมดฉบับ จากนั้นถูกนำไปเขียนเรื่องตำรายาภายหลัง สมุดไทยขาวฉบับนี้ไม่ครบฉบับ หน้าต้นและหน้าปลายขาดหายไปเป็นที่น่าเสียดายมาก บางตำแหน่งมีรอยน้ำซึมทำให้ตัวอักษรลบเลือนไปเล็กน้อย หน้าต้นกล่าวถึง คาถาปถมํ คือ การอุบัติของพระเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ การบำเพ็ญบารมีจนถึงสูญนิพพาน คาถาต่างๆ ทั้งคาถาเมตตามหายนิยม คาถาอยู่ยงคงกระพัน คาถาต่อกระดูก เป็นต้น หน้าปลายเป็นตำรายา กล่าวถึง คัมภีร์โรคนิทาน เป็นชื่อของคัมภีร์ที่ว่าด้วยเหตุและสมุฏฐานของโรค โรคที่เกิดจากธาตุทั้งสี่พิการ (ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ อาโปธาตุ) และสูตรยารักษาโรคนั้นๆ เช่น อาโปพิการ ร่างกายขาวซีด ง่วงซึม รักษาด้วย เจตมูลเพลิงแดง ๑ ลูกผักชี ๑ เปลือกมูกมัน ๑ ก็ทำเป็นผงละเอียดละลายน้ำร้อนกินแก้โรค เป็นต้น