คอลเลกชั่นพิเศษของคุณมนัสวี ผู้ได้รับมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นอันเป็นเอกสารตัวเขียน ท่านได้เล่าถึงที่มาที่ไปเอกสารชุดนี้ว่าเป็นของคุณปู่ ท่านประกอบอาชีพเป็นครูสอนศาสนานิกายซุนนีห์ จึงมีเอกสารเกี่ยวกับศาสนาอิสลามจำนวนหนึ่ง คุณมนัสวีเล่าให้ฟังต่อว่า “สมัยนั้นยังไม่มีความสนใจในเรื่องเหล่านี้จึงไม่เคยสอบถามอะไรไว้ และคุณปู่ก็เสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ.2475 น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่ได้เรื่องราวใด ๆ ไว้” ส่วนเอกสารโบราณเหล่านี้คุณมนัสวีไปพบที่บ้านหลังเก่าของคุณปู่ ถูกเก็บไว้ในห้องใต้หลังคา บ้านหลังนั้นไม่ได้รับความเสียหายจากระเบิดในช่วงสงครามมหาเอเซียบูรพา ทำให้เอกสารโบราณเหล่านี้ไม่ได้รับความเสียและถูกค้นพบในเวลาต่อมา เอกสารตัวเขียนถูกเก็บไว้ในหีบไม้ เอกสารบางส่วนมีรอยเปื้อนซึมน้ำ ทำให้เอกสารโบราณติดกันเป็นปึกแกะไม่ออกบ้าง บางส่วนหลุดออกมาเป็นแผ่น ๆ แต่สภาพโดยรวมยังถือว่าเอกสารโบราณอยู่ในสภาพดี โดยเอกสารที่พบเป็นสมุดไทยขาว 1 เล่ม อักษรไทยและอักษรอาหรับ กล่าวถึงข้อปฏิบัติตามหลักของศาสนาอิสลาม เช่น การชำระล้างร่างกาย การละหมาด การถือศีลอด เป็นต้น ส่วนสมุดฝรั่งนั้นมีหลายเล่ม จึงขอยกเล่มที่น่าสนใจ อาทิ คัมภีร์อัลกุรอาน อักษรอาหรับ การตกแต่งด้วยการลงสีอย่างสวยงาม และเย็บกี่เข้าเป็นเล่มเดียวกัน เนื่องจากคัมภีร์อัลกุรอานบางแห่งจะจัดเก็บเป็นเล่มเล็ก ๆ แยกเฉพาะบทเท่านั้น อาจเป็นในเรื่องความสะดวกในการหยิบมาใช้ หรือการพกพาก็เป็นได้
จุฬาราชมนตรีต่วน สุวรรณศาสน์ มีชื่อทางอิสลามว่า อิสมาแอล ยะห์ยาวี เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิดวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2432 ท่านศึกษาวิชาการทางศาสนาจากประเทศซาอุดิอารเบีย ท่านได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2491 นับเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และคนที่ 15 แห่งราชอาณาจักรไทย ผลงานสำคัญของท่านจุฬาราชมนตรีต่วน คือท่านได้แปลและจัดพิมพ์อัลกุรอานไว้ได้ครบสมบูรณ์และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานงบประมาณในการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มได้เรียบร้อยและพระองค์ยังได้นำพระคัมภีร์อัลกุรอานฉบับแปลนี้ไปพระราชทานแก่พสกนิกรในเขต 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยพระองค์เองอีกด้วย ท่านจุฬาราชมนตรีต่วน ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ประมาณ 33 ปี ท่านได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ.2524 ศิริรวมอายุได้ 93 ปีเศษ ------- อ้างอิงจาก จุฬาราชมนตรี-ต่วน-สุวรรณศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2568 จาก https://www.cicot.or.th/th/chularatchamontri/detail/33/จุฬาราชมนตรี-ต่วน-สุวรรณศาสตร์ บ้านเขียวอันยุมัน. สืบค้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2568 จาก https://db.sac.or.th/museum/museum-detail/1492
เว็บท่า (WEB PORTAL) เอกสารโบราณ เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่มีการจัดทำฐานข้อมูลด้านเอกสารตัวเขียน ในการบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ด้านเอกสารตัวเขียนได้ในจุดเดียว เว็บท่า (WEB PORTAL) เอกสารโบราณ ได้รวบรวมข้อมูลเอกสารตัวเขียน โดยปัจจุบันมีข้อมูลของฐานข้อมูลเอกสารโบราณ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และฐานข้อมูลเอกสารตัวเขียนในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เปิดให้ใช้บริการ ซึ่งมีข้อมูลเอกสารตัวเขียนรวมกันกว่า 1,800 รายการ และมีแนวทางที่จะแสวงหาเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลด้านเอกสารตัวเขียนให้ครอบคลุมและเกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ สามารถเข้าไปใช้งานที่เว็บไซต์ https://db.sac.or.th/manuscriptsofthailand/
คอลเลกชั่นพิเศษของ ดร. อนาโตล เป็ลติเยร์ เอกสารโบราณเหล่านี้ ดร.อนาโตล เป็ลติเยร์ ได้มอบไว้ให้กับคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ และทางคุณหญิงเองจึงได้มอบให้กับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เอกสารโบราณเหล่านี้นอนนิ่งอยู่ในกล่อง ยังไม่มีการทำทะเบียนเอกสารฯ และทำสำเนาดิจิทัลมาก่อน ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทยเล็งเห็นว่า เอกสารเหล่านี้มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์พุทธศาสนา และการศึกษาไวยกรณ์ภาษาบาลี การศึกษาอักขรวิธีอักษรพม่า เนื่องจากคัมภีร์เหล่านี้ได้บันทึกด้วยตัวอักษรและภาษาบาลีที่ใช้ในช่วงยุคสมัยนั้น เมื่อนำมาทำสำเนาดิจิทัลแล้วให้บริการกับผู้ที่สนใจศึกษาคัมภีร์เหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อวงการการศึกษาพุทธศาสนาไม่น้อย
“วัดหนัง” หรือ “วัดหนังราชวรวิหาร” ตามประวัติวัดนั้นสร้างเมื่อ พ.ศ.2260 หรือช่วงรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระ สมัยก่อนแถววัดหนังอยู่เขตอำเภอบางขุนเทียน จังหวัดธนบุรี เมื่อรวมธนบุรีเข้ามาเป็นกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก วัดหนังก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ยังปรากฏป้ายเก่าของวัดขณะที่ยังสังกัดจังหวัดธนบุรีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของวัด วัดหนังเป็นวัดเก่าแก่ในย่านนี้ และมีวัดในแถบใกล้ๆ กันอีกหลายวัดจนมีเรื่องเล่าว่า วัดในแถบนี้มีวัดสามพี่น้องคือ วัดหนัง วัดนางนอน และวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และที่ใกล้กันนั้นก็มีวัดศาลาครึนด้วย วัดนางนองราชวรวิหารและวัดราชโอรสารามราชวรวิหารนั้นบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งศิลปะที่ปรากฏอยู่ที่วัดนั้นส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะแบบจีน ส่วนวัดหนังนี้พระราชมารดาของรัชกาลที่ 3 ทรงให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดหนังขึ้นใหม่ แต่ให้มีความเป็นไทยผสมอยู่มากกว่าวัดนางนองและวัดราชโอรสารามฯ แต่ก็ยังมีศิลปะแบบจีนปนอยู่บ้าง พิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา วัดหนังราชวรวิหาร จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าชมได้ศึกษาเรียนรู้ วิถีชีวิต และประวัติความเป็นมาของพื้นที่ย่านเขตจอมทอง คิดริเริ่มและลงมือจัดทำช่วง พ.ศ.2545 สมัยพระธรรมศีลาจารย์เป็นเจ้าอาวาส โดยมีพระครูสมุห์ไพฑูรย์ สุภาฑโร (ปัจจุบันลาสิกขาบทแล้ว) และบรรดาลูกศิษย์ในย่านวัดหนังช่วยกันก่อตั้งและจัดหาวัตถุจัดแสดง